- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ปลากัดมาเลย์
เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
โดย เจ้าของร้าน
ปลามาเลย์ ขึ้น ชื่อว่าเป็นปลาที่มีเกร็ด - หนัง เป็นจุดเด่นจากสภาพแวดล้อมของประเทศเมื่อปลาถูกเพาะขึ้นมาต้องทำการปรับสภาพ ให้เข้ากับภูมิประเทศนั้นๆ
ด้วยคุณสมบัติของเนื้อดินบวกอากาศทำให้เนื้อหนังของปลามาเลย์ดี (จริงหรือ?)
มาเลเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านกับไทยมีชายแดนที่ติดกันวัฒนาธรรมใกล้เคียงกัน กับพี่น้องชาวใต้ การกัดปลาก็นิยมไม่แพ้ฝั่งไทยจึงมีการนำปลาเข้ามาในไทยและใช้คำว่า ลูกนอก ใครได้ยินก็หวั่นเกรง ทั้งชื่อชั้น ความสามารถ เขี้ยวและหนัง มูลค่าของราคาเลยพุ่งขึ้นอีกเท่าตัวต่างจากปลาไทยแท้ๆยิ่งนัก
ในเมื่อภูมิประเทศของทางใต้ไม่แตกต่างกันมากนักแต่อะไรที่ทำให้ความคิด เปลี่ยนไป ปลาที่เพาะที่ไทยติดชายแดนมาเลย์กับปลามาเลย์ที่เพาะติดชายแดนไทยคุณภาพมัน แตกต่างกันมากน้อยเพียงใดหรือเป็นเพราะคนเพาะพันธุ์ของทางมาเลย์ดีกว่า ปลาชายแดนกับปลาที่ต้องเข้าไปเอาในมาเลย์คุณภาพไม่เท่ากันหรือมันต่างกันยังไง คือปัจจัยไม่ใช่รึไม่ทั้งๆที่มันเกิดในประเทศเดียวกัน ปลาชายแดนมาเลย์สู้ด้านในไม่ได้แต่ทำไมปลาชายแดนเราถึงสู้ปลาชายแดนมาเลย์ไม่ได้ (สู้ราคาขายไม่ได้) ดินเราด้อยกว่าเค้างันหรือหรือทางมาเลย์เค้าขายแพงเอง ผมชอบปลามาเลย์ด้วยลักษณะที่ดูหน้าเกรงขาม ทุกวันนี้ยังอยากได้เป็นเจ้าของผมเลยใคร่อยากรู้ว่าปลามาเลย์ที่ดีนั้นมัน อยู่ที่ไหนไปไม่ได้แต่รู้ไว้ผมก็พอใจแล้ว
Credit : พี่โต้ง กระท่อมปลากัด

เลี้ยงปลากัดพันธุ์มาเลย์ รายได้นับล้านต่อปี
เกษตรกรทำสวนยางพาราประสบปัญหา หันไปเพาะเลี้ยงปลากัดสายพันธุ์มาเลเซีย เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านบาท...
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. หลังประสบปัญหาการทำสวนยางพาราไม่ได้ผลดี เกษตรกรพื้นที่หมู่ 5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง จึงหันมาเพาะเลี้ยงปลากัดสายพันธุ์มาเลเซีย ซึ่งมี 3 สี ประกอบด้วย สีม่วงแดง สีเขียวและสีม่วงน้ำเงิน ซึ่งเป็นปลากัดที่มีขนาดใหญ่กว่าปลากัดในท้องถิ่น หนังหนา เขี้ยวยาวและทนต่อโรคทุกชนิด ทำให้เป็นที่ต้องการของลูกค้า ทั้งที่ซื้อไปเลี้ยงไว้เพื่อการแข่งขันกัดปลาและเลี้ยงไว้ดูเล่น เพราะมีความ สวยงาม อ่อนช้อย หางเป็นแพนยาว จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งใน จ.ตรัง และจังหวัดอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยขายในราคาตัวละ 100 บาท
นายพงษ์ศักดิ์ จิตรใจภักดิ์ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากัด กล่าวว่า ขณะนี้มีปลากัดทั้งหมดรวม 120 บ่อ หรือกว่า 20,000 ตัว สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านบาท และกำลังเร่งขยายบ่อเพาะเลี้ยงปลากัดออกไปอีกประมาณ 20 บ่อ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด ซึ่งนับเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลากัดที่ใหญ่ที่สุดใน จ.ตรัง โดยทำควบคู่ไปกับการเพาะไรแดงขายสร้างรายได้ให้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรจากจังหวัดต่างๆ มาศึกษาดูงานเดือนละไม่ต่ำกว่า 20-30 คน โดยส่วนหนึ่งนำไปทำเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้อย่างงดงาม ซึ่งยอดขายปลากัดดีขึ้นทุกปี จนมีปลากัดไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายให้กับลูกค้า สำหรับปีนี้ตนมีรายได้แล้วกว่า 800,000 บาท. (ข่าวจากไทยรัฐ)
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. หลังประสบปัญหาการทำสวนยางพาราไม่ได้ผลดี เกษตรกรพื้นที่หมู่ 5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง จึงหันมาเพาะเลี้ยงปลากัดสายพันธุ์มาเลเซีย ซึ่งมี 3 สี ประกอบด้วย สีม่วงแดง สีเขียวและสีม่วงน้ำเงิน ซึ่งเป็นปลากัดที่มีขนาดใหญ่กว่าปลากัดในท้องถิ่น หนังหนา เขี้ยวยาวและทนต่อโรคทุกชนิด ทำให้เป็นที่ต้องการของลูกค้า ทั้งที่ซื้อไปเลี้ยงไว้เพื่อการแข่งขันกัดปลาและเลี้ยงไว้ดูเล่น เพราะมีความ สวยงาม อ่อนช้อย หางเป็นแพนยาว จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งใน จ.ตรัง และจังหวัดอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยขายในราคาตัวละ 100 บาท
นายพงษ์ศักดิ์ จิตรใจภักดิ์ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากัด กล่าวว่า ขณะนี้มีปลากัดทั้งหมดรวม 120 บ่อ หรือกว่า 20,000 ตัว สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านบาท และกำลังเร่งขยายบ่อเพาะเลี้ยงปลากัดออกไปอีกประมาณ 20 บ่อ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด ซึ่งนับเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลากัดที่ใหญ่ที่สุดใน จ.ตรัง โดยทำควบคู่ไปกับการเพาะไรแดงขายสร้างรายได้ให้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรจากจังหวัดต่างๆ มาศึกษาดูงานเดือนละไม่ต่ำกว่า 20-30 คน โดยส่วนหนึ่งนำไปทำเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้อย่างงดงาม ซึ่งยอดขายปลากัดดีขึ้นทุกปี จนมีปลากัดไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายให้กับลูกค้า สำหรับปีนี้ตนมีรายได้แล้วกว่า 800,000 บาท. (ข่าวจากไทยรัฐ)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น